ศาสดามุฮัมมัด ศ. เริ่มเผยแผ่คำสอนอิสลามอย่างเงียบ ๆท่านทำเช่นนี้ถึง 3 ปีเต็ม และเหตุที่ท่าน ศ. ทำเช่นนี้ เพราะชาวอาหรับเป็นพวกที่ชอใช้กำลัง พวกเขาไม่รู้จักมารยาทในการเห็นต่าง วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อไม่ให้ชาวมักกะฮ์ตื่นตกกับสิ่งใหมที่ท่าน ศ. นำมาเสนอ

เหตุการณ์สำคัญในปีที่ 1-3 ของการเผยแพร่อิสลาม
- อิสลามถูกบัญชาให้เผยแพร่อย่างไม่เปิดเผย
 
ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. เดินลงมาจากภูเขา (ปัจจุบันนี้เรียกว่า“ญะบัล นูร” ซึ่งอยู่ห่างจากมักกะฮ์ 6 กิโลเมตร ริมถนนไปยังมินา) พร้อมกับรับภารกิจในการนำสาส์นจากเบื้องบนไปยังชาวโลกทั้งผอง การประกาศศาสนาของท่านศาสดา ศ. ในช่วงแรกนั้น เป็นไปอย่างลับ ๆ และบรรดาผู้ซึ่งศรัทธาต่อท่าน ต่างก็ยังปกปิดความศรัทธาและการนับถือศาสนาอิสลามของพวกเขาอยู่(สถาพเช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลา 3 ปีเต็ม)
และดังที่กล่าวมาแล้วว่า มุฮัมมัดศาสนทูตของพระเจ้า ได้ทำให้มีบุคคลที่เข้ารับอิสลามเป็นคนแรกได้สำเร็จ คือคอดีญะฮ์ภรรยาของท่านเอง
และเนื่องจากอะลี บิน อบีฎอลิบ เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวของท่านศาสดา เขาจึงเป็นคนแรกในหมู่ผู้ชายที่น้อมรับสาส์นของอิสลามอย่างไม่ต้องสงสัย เขาได้กล่าวปฏิญาณตนว่า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวและมูฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และเขาเป็นคนที่มีความกระหายอย่างยิ่งที่จะยืนอยู่ด้านหลังของมุฮัมมัด ศ. เพื่อการทำนมาซ นับแต่นั้นมาไม่เคยเลยที่ท่านศาสดา ศ. จะยืนนมาซโดยไม่มีอิมามอะลี อ. ยืนร่วมอยู่ด้วย เขาผู้นี้ท่องจำโองการต่าง ๆ ของอัลกุรอาน ตามที่ได้ถูกวิวรณ์ลงมาให้กับท่านศาสดา เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้ในอัลกุรอาน ว่ากันจริง ๆ แล้วอะลีกับอัลกุรอานเติบโตขึ้นมาด้วยกันเสมือนเป็นคู่แฝดในบ้านของท่านศาสดากับท่านหญิงคอดีญะฮ์ มุฮัมมัดศาสนทูตแห่พระเจ้าได้พบกับมุสลิมะฮ์คนแรกในตัวของคอดีญะฮ์และมุสลิมคนแรกในตัวของอาลี บุตรของอบูฏอลิบ
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไป 3 ปี อิสลามจึงแพร่หลายท่ามกลางบรรดาผู้ยากไร้ในเมืองมักกะฮ์ และอัลลอฮ์ได้ทรงมีพระบัญชาให้ประกาศเชิญชวนอย่างเปิดเผยแก่มนุษยชาติ

เหตุการณ์สำคัญในปีที่ 3-6 ของการเผยแพร่อิสลาม
- การประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย
 
เป็นเวลานานทีเดียวที่มุสลลิมมีกันอยู่เป็นจำนวนเพียงน้อยนิด และพวกเขาไม่กล้าไปทำนมาซในที่สาธารณะ บุคคลผู้หนึ่งที่หันเข้ามารับอิสลามในช่วงแรกก็คือ อัรกอม บิน อบีอัล อัรกอม เขาเป็นชายหนุ่มแห่งตระกูลมักซูม เขาเป็นคนมีฐานะดี และอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตกว้างขวาง ที่หุบเขาซอฟา บรรดามุสลิมได้มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านนี้เพื่อทำนมาซรวมกันเป็นสภาพนี้ 3 ปี จากนั้นในปีที่ 4 ท่านศาสดาได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้เชิญชวนผู้คนที่เป็นวงศ์ญาติของท่านมาสู่อิสลามอย่างเปิดเผย ว่า:
وَأَنذِرْ عَشِيرَتَكَ الْأَقْرَبِينَ  سوره شعرا- آيه 214
และเจ้าจงเตือนวงศ์ญาติที่ใกล้ชิดของเจ้า 
วงศ์ญาติของท่านศาสดา ศ. นั้นมีบรรดาสมาชิกทั้งหมดของบนูฮาชิม และบนูอัลมุตฏอลิบ ท่านได้สั่งให้อิมามอะลี อ. ญาติผู้พี่ของท่านเชิญบรรดาผู้ที่เป็นระดับหัวหน้าของพวกเขาทั้งหมดมาในงานเลี้ยงทั้งหมดรวม 40 คนโดยประมาณ
เมื่อแขกได้มารวมกันในห้องหนึ่งในบ้านของอบูฏอลิบโดยพร้อมกันและได้รับประทานอาหารจนอิ่มดีแล้ว ท่านศาสดา ศ. จึงลุกขึ้นเพื่อกล่าวคำปราศรัยต่อพวกเขา พอท่านศาสดา เริ่มจะกล่าว แขกคนหนึ่งของงานก็คือ อบูละฮับ ผู้เป็นลุงคนหนึ่งของท่าน เขาได้ลุกขึ้นยืนและขัดจังหวะขึ้นอย่างหยาบคายแล้วได้กล่าวถึงเรื่องต่างๆที่ไร้สาระและพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาจนทำให้ท่านศาสดาไม่สามารถพูดเปิดประเด็นได้ จากคำพูดของเขา อบูละฮับ ประสบควมสำเร็จในการสร้างความโกลาหลวุ่นวายให้เกิดขึ้น ในที่ประชุมทุกคนต่างลุกขึ้นยืนแล้วเดินเปะปะชนกัน ในที่สุดพวกเขาเริ่มกลับไปและในไม่ช้าห้องก็ว่างลง
ความพยายามครั้งแรกของท่านศาสดาต้องประสบความล้มเหลว แต่ท่านก็ไม่เคยย่อท้อกับอุปสรรคในครั้งแรกนี้ ท่านจึงได้สั่งให้อิมามอะลี อ. ให้เชิญแขกชุดเดิมนี้อีกมาเป็นครั้งที่สอง สองสามวันต่อมา แขกได้กลับมารวมตัวกันอีก และเมื่อพวกเขาได้รับประทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้ว ท่านศาสดาจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวกับพวกเขาดังนี้
“ ฉันขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับความกรุณาของพระองค์ ฉันขอสรรเสริญพระองค์และฉันขอแสวงหาทางนำจากพระองค์ ฉันศรัทธาในพระองค์และฉันขอมอบความไว้วางใจทั้งหมดไว้กับพระองค์ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่อัลลอฮ์องค์เดียว พระองค์ทรงมีบัญชาให้ฉันเชิญชวนท่านมาสู่ศาสนาของพระองค์ด้วยพระบัญชาที่ว่า “ และจงกล่าวตักเตือนวงศ์ญาติที่ใกล้ชิดของเจ้า ” เพราะฉะนั้นฉันจึงขอเตือนพวกท่านและเรียกร้องมายังพวกท่านให้ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่อัลลลอฮ์องค์เดียว และฉันเป็นศาสนทูตของพระองค์โดยท่านผู้เป็นบุตหลานของอับดุลมุตฏอลิบไม่มีผู้ใดเคยนำในสิ่ง ที่ดีกว่าสิ่งที่ฉันจะนำมาสู่พวกท่าน หากพวกท่านยอมรับเอาไว้ กิจการงานก็จะมั่งคงทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า จะมีผู้ใดในหมู่พวกท่านหรือไม่ ที่จะสนับสนุนฉันเพื่อปฏิบัติการในหน้าที่อันสำคัญยิ่งนี้ ? จะมีใครที่จะตอบรับต่อคำเรียกร้องของฉันบ้าง ? มีใครจะเป็นผู้สืบตำแหน่งของฉันผู้ช่วยของฉันและเป็นวะซีร์ของฉันบ้างไหม ? ”
มีแขกอยู่จำนวน 40 คนในห้องโถงนั้น ท่านศาสดาหยุดชั่วขณะเพื่อปล่อยให้ผลกระทบของคำพูดของท่านซึมซับเข้าไปในจิตใจของพวกเขา แต่ไม่มีผู้ใดสักคนในหมู่พวกเขาที่ได้ตอบรับ ในที่สุดเมื่อความเงียบงันกลายมาเป็นความกดดันที่มากเกินควรไปแล้วหนุ่มน้อย อะลี บุตร อบูฏอลิบ ได้ลุกขึ้นยืน และกล่าวขึ้นว่าเขาจะสนับสนุนศาสนทูตแห่งพระเจ้า จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในภาระของงานของท่าน และจะเป็นผู้สืบแทนของท่าน ผู้ช่วยของท่านและวะซีร์ของท่าน แต่ท่านศาสดาได้ขอให้เขานั่งลง และกล่าวว่าจงคอยก่อนบางทีมีบางคนที่อาวุโสกว่าเจ้าตอบรับคำเรียกร้องของฉัน
ท่านศาสดาได้กล่าวเชิญชวนอีกครั้งหนึ่งดูเหมือนไม่มีผู้ใดที่จะขยับเขยื้อน ท่านได้รับการตอบรับด้วยความเงียบงันที่มีแต่ความอึดอัด อิมามอะลี อ. ได้เสนอตัวที่จะขอรับใช้อีกครั้งหนึ่งแต่ศาสนทูตยังประสงค์ว่าอาจจะมีสมาชิกผู้อาวุโสบางคนของตระกูล จะตอบรับการเชิญชวนของท่านจึงขอใหเขารอก่อนจากนั้นท่านได้เรียกร้องวงศ์ญาติของท่านอีกเป็นครั้งที่สาม เพื่อให้พิจารณาคำเชิญชวนของท่านและก็เป็นเช่นเดิมอีกไม่มีผู้ใดในที่ชุมนุมแสดงออกถึงความสนใจใด ๆ ท่านมองไปรอบ ๆ และเพ่งมองไปยังทุก ๆ คนในห้องแต่ไม่มีผู้ใดขยับยกเว้นอิมามอะลี อ. ซึ่งเขาได้อาสามารับใช้งานของท่าน
ในครั้งนี้ท่านศาสดายอมรับข้อเสนอของอิมามอะลี อ. ท่านได้ดึงตัวของเขาเอามากอดไว้แนบอก และกระชับเขาเข้าที่หัวใจของท่าน และจึงกล่าวกับที่ชุมนุมว่า
إن هذا اخي ووصيي وخليفتي عليكم فاسمعوا له واطيعوه
“ นี้คือพี่น้องของฉัน ผู้สืบแทนของฉันและผู้สืบตำแหน่งของฉัน จงฟังเขาและจงเชื่อฟังคำบัญชาต่าง ๆ ของเขา ”
งานเลี้ยงที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. ได้ประกาศให้อาลีเป็นผู้สืบแทนของท่านนั้นเป็นที่รู้จักกันชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ดังในนาม “ งานเลี้ยงแห่งซุลอะชีรอ ” ชื่อนี้มาจากอัลกุรอานเองในซูเราะห์อัชชุอารอฮ์ โองการที่ 214
حَدَّثَنَا ابْنُ حُمَيْدٍ ، قَالَ : حَدَّثَنَا سَلَمَةُ ، قَالَ : حَدَّثَنِي مُحَمَّدُ بْنُ إِسْحَاقَ ، عَنْ عَبْدِ الْغَفَّارِ بْنِ الْقَاسِمِ ، عَنِ الْمِنْهَالِ بْنِ عَمْرٍو ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الْحَارِثِ بْنِ نَوْفَلِ بْنِ الْحَارِثِ بْنِ عَبْدِ الْمُطَّلِبِ ، عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَبَّاسٍ ، عَنْ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ ، قَالَ : لَمَّا نَزَلَتْ هَذِهِ الآيَةُ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : وَأَنْذِرْ عَشِيرَتَكَ الأَقْرَبِينَ سورة الشعراء آية 214 ، دَعَانِي رَسُولُ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ لِي : يَا عَلِيُّ ، إِنَّ اللَّهَ أَمَرَنِي أَنْ أُنْذِرَ عَشِيرَتِي الأَقْرَبِينَ ، فَضِقْتُ بِذَلِكَ ذَرْعًا ، وَعَرَفْتُ أَنِّي مَتَى أُبَادِيهِمْ بِهَذَا الأَمْرِ أَرَى مِنْهُمْ مَا أَكْرَهُ ، فَصَمَتُّ عَلَيْهِ حَتَّى جَاءَنِي جِبْرِيلُ ، فَقَالَ : يَا مُحَمَّدُ ، إِنَّكَ إِلا تَفْعَلْ مَا تُؤْمَرُ بِهِ يُعَذِّبْكَ رَبُّكَ ، فَاصْنَعْ لَنَا صَاعًا مِنْ طَعَامٍ ، وَاجْعَلْ عَلَيْهِ رِجْلَ شَاةٍ ، وَامْلأْ لَنَا عُسًّا مِنْ لَبَنٍ ، ثُمَّ اجْمَعْ لِي بَنِي عَبْدِ الْمُطَّلِبِ حَتَّى أُكَلِّمَهُمْ ، وَأُبَلِّغَهُمْ مَا أُمِرْتُ بِهِ . فَفَعَلْتُ مَا أَمَرَنِي بِهِ ، ثُمَّ دَعَوْتُهُمْ لَهُ وَهُمْ يَوْمَئِذٍ أَرْبَعُونَ رَجُلا ، يَزِيدُونَ رَجُلا ، أَوْ يَنْقُصُونَهُ ، فِيهِمْ أَعْمَامُهُ : أَبُو طَالِبٍ ، وَحَمْزَةُ ، وَالْعَبَّاسُ ، وَأَبُو لَهَبٍ . فَلَمَّا اجْتَمَعُوا إِلَيْهِ دَعَانِي بِالطَّعَامِ الَّذِي صَنَعْتُ لَهُمْ ، فَجِئْتُ بِهِ ، فَلَمَّا وَضَعْتُهُ تَنَاوَلَ رَسُولُ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، حِذْيَةً مِنَ اللَّحْمِ فَشَقَّهَا بِأَسْنَانِهِ ، ثُمَّ أَلْقَاهَا فِي نَوَاحِي الصَّحْفَةِ ، ثُمَّ قَالَ : خُذُوا بِسْمِ اللَّهِ . فَأَكَلَ الْقَوْمُ حَتَّى مَا لَهُمْ بِشَيْءٍ حَاجَةٌ ، وَمَا أَرَى إِلا مَوْضِعَ أَيْدِيهِمْ ، وَايْمُ اللَّهِ ، الَّذِي نَفْسُ عَلِيٍّ بِيَدِهِ ، وَإِنْ كَانَ الرَّجُلُ الْوَاحِدُ مِنْهُمْ لَيَأْكُلُ مَا قَدَّمْتُ لِجَمِيعِهِمْ . ثُمَّ قَالَ : اسْقِ الْقَوْمَ ، فَجِئْتُهُمْ بِذَلِكَ الْعُسِّ ، فَشَرِبُوا مِنْهُ ، حَتَّى رُوُوا مِنْهُ جَمِيعًا ، وَايْمُ اللَّهِ إِنْ كَانَ الرَّجُلُ الْوَاحِدُ مِنْهُمْ لَيَشْرَبُ مِثْلَهُ . فَلَمَّا أَرَادَ رَسُولُ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، أَنْ يُكَلِّمَهُمْ ، بَدَرَهُ أَبُو لَهَبٍ إِلَى الْكَلامِ ، فَقَالَ : لَقَدْ مَا سَحَرَكُمْ صَاحِبُكُمْ . فَتَفَرَّقَ الْقَوْمُ ، وَلَمْ يُكَلِّمْهُمْ رَسُولُ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ : الْغَدَ يَا عَلِيُّ ، إِنَّ هَذَا الرَّجُلَ سَبَقَنِي إِلَى مَا قَدْ سَمِعْتَ مِنَ الْقَوْلِ ، فَتَفَرَّقَ الْقَوْمُ قَبْلَ أَنْ أُكَلِّمَهُمْ . فَعُدَّ لَنَا مِنَ الطَّعَامِ بِمِثْلِ مَا صَنَعْتَ ، ثُمَّ اجْمَعْهُمْ إِلَيَّ . قَالَ : فَفَعَلْتُ ، ثُمَّ جَمَعْتُهُمْ ، ثُمَّ دَعَانِي بِالطَّعَامِ ، فَقَرَّبْتُهُ لَهُمْ ، فَفَعَلَ كَمَا فَعَلَ بِالأَمْسِ ،فَأَكَلُوا حَتَّى مَا لَهُمْ بِشَيْءٍ حَاجَةٌ ، ثُمَّ قَالَ : اسْقِهِمْ ، فَجِئْتُهُمْ بِذَلِكَ الْعُسِّ ، فَشَرِبُوا حَتَّى رُوُوا مِنْهُ جَمِيعًا ، ثُمَّ تَكَلَّمَ رَسُولُ اللَّهِ ، صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ  يَا بَنِي عَبْدِ الْمُطَّلِبِ ، إِنِّي ، وَاللَّهِ ، مَا أَعْلَمُ شَابًّا فِي الْعَرَبِ جَاءَ قَوْمَهُ بِأَفْضَلَ مِمَّا قَدْ جِئْتُكُمْ بِهِ ، إِنِّي قَدْ جِئْتُكُمْ بِخَيْرِ الدُّنْيَا ، وَالآخِرَةِ ، وَقَدْ أَمَرَنِي اللَّهُ تَعَالَى أَنْ أَدْعُوَكُمْ إِلَيْهِ ، فَأَيُّكُمْ يُؤَازِرُنِي عَلَى هَذَا الأَمْرِ ، عَلَى أَنْ يَكُونَ أَخِي ، وَوَصِيِّي ، وَخَلِيفَتِي فِيكُمْ ؟ قَالَ : فَأَحْجَمَ الْقَوْمُ عَنْهَا جَمِيعًا ، وَقُلْتُ ، وَإِنِّي لأَحْدَثُهُمْ سِنًّا ، وَأَرْمَصُهُمْ عَيْنًا ، وَأَعْظَمُهُمْ بَطْنًا ، وَأَحْمَشُهُمْ سَاقًا : أَنَا يَا نَبِيَّ اللَّهِ ، أَكُونُ وَزِيرَكَ عَلَيْهِ . فَأَخَذَ بِرَقَبَتِي ، ثُمَّ قَالَ : إِنَّ هَذَا أَخِي ، وَوَصِيِّي ، وَخَلِيفَتِي فِيكُمْ ، فَاسْمَعُوا لَهُ ، وَأَطِيعُوا . قَالَ : فَقَامَ الْقَوْمُ يَضْحَكُونَ ، وَيَقُولُونَ لأَبِي طَالِبٍ : قَدْ أَمَرَكَ أَنْ تَسْمَعَ لابْنِكَ وَتُطِيعَ
تاريخ الطبري ج2 ص321 المؤلف: محمد بن جرير بن يزيد بن كثير بن غالب الآملي، أبو جعفر الطبري المتوفى: 310هـ
الكامل في التاريخ ج1 ص661 المؤلف: أبو الحسن علي بن أبي الكرم محمد بن محمد بن عبد الكريم بن عبد الواحد الشيباني الجزري، عز الدين ابن الأثير المتوفى: 630هـ


นับจากวันนั้น อบูละฮับได้ปฏิบัติตนเสมือนเงาตามตัวท่านศาสดาไม่ว่าท่านจะไปไหนก็ตาม ถ้าหากท่านเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือจะพูดจาในสิ่งใดเขาก็จะเข้าขัดขวางท่าน หรือไม่ก็เริ่มพูดจาขัดคอท่าน ความเกลียดชังของอบูละฮับที่มีต่อท่านศาสดาและอิสลามนั้น มีอุมมุญะมีล ภรรยาของเขาเข้ามาร่วมด้วย ทั้งสองคนจึงตกเป็นผู้รับคำสาปแช่งของพระเจ้าในอัลกุรอานซูเราะห์อัลมะซัด
มีสองสิ่งที่เกิดขึ้นนงานเลี้ยง ซุลอาชิรอฮ์ คือ
- สิ่งแรกก็คือท่านศาสดาได้นำอิสลามออกมาสู่สาธารณะ อิสลามไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวในแบบ “ใต้ดิน” อีกต่อไปแล้ว อิสลามได้ขึ้นมาสู่ “ภาคพื้นดิน” ณ งานเลี้ยงของบรรดาญาติสนิทของท่าน ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ.ข้ามเส้นไปแล้ว และต่อไปนี้ก็จะไม่มีวนหวนกลับมาจุดเดิมอีก เวลาได้มาถึงท่านแล้วที่จะนำสาส์นแห่งอิสลามให้ออกไปสู่สาธารณชน โดยวาระแรกไปสู่ชาวกุเรชแห่งนครมักกะฮ์ จากนั้นก็ไปสู่ชาวอาหรับทั้งมวล และในที่สุดก็ไปสู่โลกที่เหลืออยู่ทั้งหมด
 - อีกประการหนึ่งก็คือ ท่านได้พบว่าอะลี เป็นแหล่งของความกล้าหาญ เสียสละและมีความตั้งใจริง และมีค่ามากกว่าทหารถืออาวุธพร้อมรบถึงหนึ่งพันคน
 
		
		



![กิจกรรมช่วงบ่ายวันอาชูรอ ชุมชนมัสยิดดารุซซะฮ์รอ อ. [ร่วมเดินเท้ารำลึกถึงกองคาราวานท่านหญิงซัยหนับ]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/08/298769655_599667181566282_3179114266681750340_n-1-100x75.jpg)




![ครบรอบงานประจำปี ทำบุญเข้ากุโบร์ อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง[ซุนนี่ห์-ชีอะห์]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/05/190547214_4484729951537157_2596574157011338145_n-100x75.jpg)




