โอ้ คุณลุงของฉัน หากพวกกุเรชจะเอาดวงอาทิตย์มาวางไว้ในมือขวาและดวงจันทร์มาวางไว้ในมือซ้ายของฉันแล้ว (ให้เป็นประมุขแห่งอนาจักรโลก) ฉันก็จะไม่หยุดยั้งไปจากการประกาศความเป็นเอกะของพระเจ้า ในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันนี้อย่างเด็ดขาด และฉันจะก้าวต่อไปถึงเป้าหมายจากกระทั่งได้รับชัยชนะและหากฉันกระทำไม่สำเร็จและอิสลามไม่ได้เผยแผ่ออกไปแล้วฉันก็จะขอยอมตายไปกับภารกิจของฉัน(คำพูดของท่านนบี ศ. ที่มีต่ออบูฎอลิบ)

การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและสังคมต่อมุสลิมและบนีฮาชิม
ปีที่หกแห่งการประกาศศาสนา กำลังจะดำเนินมาสู่วาระสุดท้าย พวกป่าเถื่อนได้ใช้เวลารวมสามปีไปในการรณรงค์ต่อต้านอิสลาม พวกเขาได้สร้างความเกลียดชังและความขมขื่นอย่างมากให้กับบรรดามุสลิมตลอดระยะเวลาสามปีนี้ แต่พวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลงานอะไรที่จะนำมาแสดงให้ดูเป็นชิ้นเป็นอันได้ ยุทธวิธีทุกชนิดถูกนำมาใช้เพื่อต่อต้านมุสลิม นับตั้งแต่การดูถูก การเยาะเย้ยถากถางและการล้อเลียน ไปจนถึงการข่มขู่ที่จะใช้กำลัง และการใช้กำลังจริงก็ไม่เป็นผลแต่ประการใด พลังแห่งศรัทธาของมุสลิมได้ทำให้พวกเขาต้องงุนงง
ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า บังคับให้พวกกุเรชต้องปรับสถานการณ์ ในการเผชิญหน้ากับท่านศาสดาและอิสลาม และมีบางคนของพวกเขาพยายามที่จะมองปัญหาของพวกเขาจากแง่มุมใหม่ในการค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่น่ารำคาญใจนี้ พวกเขาค่อย ๆ รู้ว่าศัตรูของพวกเขานั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่ไร้ศักดิ์ไร้ตระกูล และไม่ใช่บรรดามุสลิมที่ยากจนข้นแค้นที่อยู่ในนครมักกะฮ์ พวกเขาตระหนักแล้วว่าศัตรูที่แท้จริงหมายถึงศัตรูของพวกกราบไหว้เทวรูปและพวกตั้งภาคี ซึ่งก็คือ อบูฏอลิบ ที่สำคัญคืออบูฏอลิบเป็นผู้ปกป้องมุฮัมมัด และอิสลามอย่างสม่ำเสมอและอย่างเหนียวแน่น บรรดามุสลิมนั้นไม่มีกำลังอะไรที่จะไปปกป้องมุฮัมมัดได้
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา พวกกุเรชได้พยายามอยู่หลายครั้งที่จะ “ โดดเดี่ยว ” มุฮัมมัดจากตระกูลของเขา และพวกเขามีความหวังว่าจะคะยั้นคะยอ หรือหลอกลวงอบูฏอลิบให้รามือไปจากการสนับสนุนและการคุ้มครองหลานชายและอิสลาม ถ้าหากพวกเขาสามารถโดดเดี่ยว มุฮัมมัดไปจากตระกูลของเขาได้แล้ว พวกเขาย่อมมีความเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก และล่อแหลมนี้ได้ ด้วยกับกรรมวิธีง่ายด้วยการ “ ทำลาย ” เขาด้วยวิธีการง่ายๆ
แต่อบูฏอลิบไม่ปล่อยให้พวกกุเรชโดดเดี่ยวมุฮัมมัดไม่ใช่เฉพาะตัวอบูฏอลิบเท่านั้นที่ไปปกป้องหลานชายของเขา แต่เขาได้รณรงค์ให้ตระกูลบนูฮาชิมทั้งหมดสนับสนุนเขาด้วย ตระกูลบนูฮาชิมจึงเป็นเสมือนแท่นหินผา ที่ยื่นขึ้นมาเพื่อสนับสนุนมุฮัมมัด และบรรดาผู้นำของพวกกุเรชต่างพบว่าตนเองไม่มีอำนาจที่จะมาหักโค่นมันลงได้
หลังจากที่ได้ไตร่ตรองและหารือกันเป็นเวลานานพวกุเรชมีความเห็นตรงกันว่า ความดื้อรั้นของบนูฮาชิมนั้นทำให้พวกเขาต้องใช้มาตรการที่แข็งกร้าวมากยิ่งขึ้นไปอีก พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะโดดเดี่ยวและตัดสัมพันธ์ไม่ใช่เพียงเฉพาะมุฮัมมัดเท่านั้น แต่กับผู้ปกป้องคุ้มครองทั้งหมดของท่านเช่นกัน นั่นคือตระกูลบนูฮาชิม
เป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่พ้นเช่นกันว่า ความพยายามที่จะตัดสัมพันธ์กับบนูฮาชิม ย่อมนำไปสู่การแบ่งขั้วกันในนครมักกะฮ์ ทุกๆคนในมักกะฮ์จะต้องประกาศตนเองว่า จะเข้าข้างหรือต่อต้านบนูฮาชิม แต่ไม่ช้าก็จะปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่าในการเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ บนูฮาชิม จะต้องพบกับการต่อต้านจากชาวอาหรับทั้งหมด
ก่อนที่จะเริ่มปีที่เจ็ดไม่กี่วัน บรรดาผู้นำของตระกูลต่างๆของพวกกุเรช จัดประชุมนัดสำคัญซึ่งถือเป็นความลับขึ้นที่ “ ศาลาประชาคม ” (دارالندوة) ของนครมักกะฮ์ และในการประชุมนี้ได้มีการลงมติให้มีการจัดทำร่างสัญญาและลงนามร่วมกันทุกฝ่าย โดยระบุว่าหากตระกูลของบนูฮาชิมไม่ยอมส่งมอบตัว มุฮัมมัดมาให้กับพวกเขาแล้ว ก็จะต้องถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและสังคม พวกเขาต่างๆให้สัตย์สาบานกันว่าจะไม่ซื้อไม่ขายสิ่งใดกับบรรดาสมาชิกของบนูฮาชิมและได้กำหนดให้การสมรสระหว่างกันกับพวกเขามีโทษถึงถูกเนรเทศ
ข้อตกลงนี้ถูกส่งไปยังเผ่าอื่น ๆ เพื่อการรับรองเมื่อพวกเขาให้การรับรองกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงถูกนำมาแขวนไว้ที่กำแพงของกะบะฮ์อย่างเป็นการเป็นงาน การรับรองในกติกานี้ถือเป็นการประกาศภาวะสงคราม
อบูฏอลิบเล็งเห็นได้อย่างแจ้งชัดแล้วว่าพายุร้ายลูกหนึ่งกำลังตั้งเค้าทะมึนพร้อมโหมกระหน่ำเข้าใส่มุสลิมและบนูฮาชิม บรรยากาศในนครมักกะฮ์ตกอยู่ในภาวะที่พร้อมจะระเบิด ได้ทุกเมื่อ ซึ่งทำให้มุสลิมและบนูฮาชิมต้องเผชิญกับการสูญสลายอย่างยิ่งใหญ่ อบูฏอลิบตระหนักดีว่าย่อมไม่เป็นการฉลาดที่จะอาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งศัตรูอาจใช้โอกาสใด ๆ ก็ได้ที่จะจุดไฟเผาบ้านของพวกเขา ฉะนั้นเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ในความปลอดภัยของมุสลิม เขาจึงตัดสินใจที่จะละออกจากนครมักกะฮ์ และไปหลบภัยอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งใกล้ ๆ นครมักกะฮ์ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม “ ชะอีบ อบีฏอลิบ ” (شعب ابيطالب) หุบเขานี้มีแนวป้องกันที่เป็นธรรมชาติของมัน ซึ่งเป็นช่องทางเดินแคบๆมีหินที่ยื่นออกมาของอบูกุบัยส์บดบังอยู่ทางด้านชานเมืองทางทิศตะวันออกของนครมักกะฮ์ มีทางเข้าออกโดยผ่านด้านข้างของตัวเมืองเข้าสู่ประตูทางเข้าที่ลาดต่ำลงซึ่งแม้อูฐตัวหนึ่งจะเดินผ่านเข้ามาได้ก็แสนยาก และไม่ว่าจะกรณีใดมันก็ปลอดภัยที่จะอยู่อาศัยมากกว่าอยู่ที่บ้านในตัวเมืองซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่จะถูกโจมตีอย่างสูง
![]()
วันแรกของปีที่เจ็ดแห่งการประกาศศาสนา ตระกูลทั้งสองคือบนูฮาชิมและบนูอัลมุตฏอลิบจึงได้อพยพออกจากนครมักกะฮ์และไปพำนักอยู่ ณ หุบเขาแห่งนั้น ตระกูลทั้งสองจึงตกอยู่ในสภาพของการถูกล้อมกรอบ
ในการเริ่มต้นของการปิดล้อม อาลีได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ที่ยากยิ่งและอันตรายที่สุด โดยเป็นผู้ออกไปหาเสบียงอาหารมาให้กับทุกคน เขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยกับการเสี่ยงชีวิตอย่างที่สุด เพื่อไปหาซื้อข้าวและน้ำ เมื่อเขาพอจะมีโอกาสสำหรับน้ำ หนึ่งถุงหนังแกะเขาต้องจ่ายด้วยทองคำแท่งหนึ่ง และเขาจะถือว่าเขาโชคดี ถ้าหากเขาสามารถนำกลับมายังช่องเขาได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามความพยายามของเขานั้น สามารถขจัดความลำบากยากเข็ญให้กับพรรคพวกที่ถูกล้อมกรอบนี้ ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
อบูฏอลิบไม่อาจหลับลงได้ในเวลากลางคืน สำหรับเขาแล้วความปลอดภัยในทางร่างกายของหลานชายของเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งใดอื่นทั้งหมด เมื่อมุฮัมมัดงีบหลับไปอบูฏอลิบจะปลุกท่านให้ตื่นขึ้นเพื่อให้ไปนอนบนที่นอนของลูกชายหนึ่งในสี่คนของเขา และสั่งให้ลูกชายคนนั้นของเขาไปนอนแทนที่ของท่านศาสดา สักอีกประเดี่ยวหนึ่งเขาก็ปลุกหลานชายของเขาให้ตื่นขึ้นอีกและให้ไปนอนในที่ของลูกชายอีกคนหนึ่งของเขา
เขาใช้เวลาทั้งคืนสับเปลี่ยนมุฮัมมัด จากที่นอนที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง เขาไม่ได้มองบรรดาศัตรูด้วยภาพลวงตาแต่อย่างใด พวกเขาเป็นพวกดื้อด้านจอมหักหลัง ชั่วร้ายและผูกพยาบาท ฉะนั้นเขาจึงไม่ยอมประมาทที่จะประเมินพวกศัตรูต่ำ ถ้าหากศัตรูคนใดของพวกเขาคืบคลานเข้ามายังช่องเขา ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าสังหารมุอัมมัด ซึ่งเป็นไปได้มากที่สุดก็จะต้องสังหารบุตรชายคนหนึ่งของอบูฏอลิบอย่างแม่นมั่น อบูฏอลิบและภรรยาของเขาพร้อมเสมอที่จะพลี บตุรชายทุกคนของเขาเพื่อมุฮัมมัด
พวกตั้งภาคีมิได้หยุดยั้งเพียงเท่านั้น หากแต่ยังเฝ้าสอดส่องอยู่ที่ “อัลวาดีย์” เพื่อสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อขัดขวางมุสลิมมิให้ซื้อขายและจัดเตรียมอาหาร ทำให้บรรดาผู้ที่เห็นอกเห็นใจคนเหล่านั้น เกรงกลัวแม้แต่จะนำน้ำดื่มไปให้กับมุสลิม พวกเขาต้องรอคอยให้ถึงเวลาพลบค่ำเสียก่อน จึงสามารถเล็ดลอดนำอาหาร และน้ำดื่มไปมอบให้พวกเขา
ไม่ว่าอาลีจะพยายามด้วยความกล้าหาญ และความสามารถอันเปี่ยมล้นเพียงใดก็ตาม แต่ก็มีบางครั้งที่เขาไม่อาจหาเสบียงอาหารใด ๆ ได้ ทุกคนต้องอยู่อย่างอดอยากหิวโหย พวกเขาได้กินอินทผลัมเพียงเม็ดเดียวเพื่อประทังชีวิตแต่ละวัน และบางครั้งอินทผลัมเม็ดหนึ่งต้องแบ่งครึ่ง เป็นเหตุให้อบูญะฮัลและพวกอุมัยยะฮ์หัวเราะเยาะด้วยความเย้ยหยัน พวกเขาคุยโม้ โอ้อวดใน “ ชัยชนะ ” ของพวกเขาที่ทำให้เด็ก ๆ ของบนู ฮาชิมและมุสลิมต้องร้องหาน้ำและอาหาร
รางวัลอันมีค่าที่สุดสำหรับมุสลิม ที่ถูกล้อมกรอบตลอดระยะเวลาสามปีนี้ก็คือน้ำ น้ำเป็นรางวัลแห่งชีวิตและตระกูลทั้งสองนี้ได้มันมาจากคอดีญะฮ์ นางได้มอบทองคำหลายแท่งให้กับอาลีเพื่อให้เขาไปซื้อน้ำ นางมีความห่วงกังวลกับผู้คนที่อยู่รอบตัวนาง โดยได้แสดงออกด้วยกันหลายทาง นางวิงวอนต่อพระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงประทานความเมตตาให้กับผู้ที่ถูกล้อมกรอบเหล่านี้ด้วย
แต่ในที่สุดฝ่ายปิดล้อมก็ต้องประสบกับความล้มเหลว ทำให้บรรดาพวกตั้งภาคีต่างผิดหวัง ในการที่จะขจัดศาสนาอิสลามให้สูญสิ้นไป เมื่อพวกผู้ตั้งภาคีต้องยุติการต่อต้าน เนื่องจากหมดความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับความเข้มแข็งและความศรัทธาของมุสลิมได้
มุสลิม บนูฮาชิมและบนูอับดุลมุตฏอลิบ กลับคืนสู่บ้านเรือนของพวกเขา ณ นครมักกะฮ์หลังจากเวลาผ่านไปสามปี ทรัพย์สินเงินทองของคอดีญะฮ์และอบูฏอลิบต้องหมดสิ้นลง พวกเขาต้องเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ ด้วยการวางรากฐานใหม่เหมือนกับวางอิฐก่อสร้างทีละก้อน ๆ
การยกเลิกการคว่ำบาตร
การที่ผู้นำกุเรชได้ยกเลิกการปิดล้อม ไม่ใช่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในจิตใจของพวกเขาในแต่ประการใด พวกเขายกเลิกการปิดล้อมก็เพราะมีอำนาจอื่นที่ทำงานต่อต้านพวกเขาอยู่เช่นกัน เรื่องราวต่อไปนี้ ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งได้กล่าวถึงสาเหตุของการกลับคืนสู่นครมักกะฮ์ของตระกูลบนูฮาชิม และมุสลิม หลังจากลี้ภัยไปเป็นเวลาสามปี
วันหนึ่ง ฮิชามบินอุมัร( هشام بن عمر )ได้ไปหาท่าน ซุฮัรร์ บินอบีอุมัยยะฮ์( زهير بن ابي امية ) ผู้ซึ่งมารดาของเขาคือ อติกะฮ์ บุตรสาวของอับดุลมุตฏอลิบ โดยกล่าวกับเขาว่า “ เจ้าพึงพอใจที่จะกินอาหารและสวมใส่เสื้อผ้าในขณะที่เจ้าก็รู้ถึงสภาพของลุงทางมารดาของเจ้าดีอยู่หรือ ? พวกเขาไม่อาจซื้อหรือขายหรือสมรสระหว่างกันได้ ขอสาบานต่อพระเจ้า หากเจ้าตัดสินใจทำเช่นนี้กับลูกหลานของอบูญะฮัลแล้วชวนเขาให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ แน่นอนเขาจะไม่ยอมทำตามเจ้าอย่างแน่นอน ”
ซุเฮร กล่าวว่า โอ้ฮิชาม ฉันเป็นเพียงคน ๆ เดียว ขอสาบานต่อพระเจ้า ถ้าหากฉันมีคนสักคนหนึ่งมาช่วยสนับสนุนฉัน ฉันก็จะจัดการยกเลิกมันในไม่ช้า ฮิชามกล่าวว่า ฉันพบชายคนนั้นแล้ว นั่นคือตัวฉันเอง ซุเฮรกล่าวว่า จงไปหามาอีกคนหนึ่งซิ ดังนั้นฮิชามจึงไปหา “อัลมุอ์ติม บินอะดีย์” ( مطعم بن عدى ) และกล่าวกับเขาว่า เจ้าพึงพอใจหรือที่คนสองตระกูลของของบนู อับดุลมะนาฟจะต้องสูญสลายไปในขณะที่เจ้ารู้สึกพึงพอใจที่จะตามพวกกุเรช ? เจ้าจะพบว่าพวกเขาจะทำกับเจ้าเช่นเดียวกันในไม่ช้านี้ มุอ์ติม ตอบกลับไปเช่นเดียวกับที่ซุเฮรตอบและเรียกร้องให้ไปหาบุคคล ที่สี่มา ดังนั้นฮิชามจึงไปหา อบุล บัคทารี บิน ฮิชาม ( ابو البخترى ) และเขาก็ได้ขอให้ไปหาบุคคลที่ห้ามาอีกเช่นกันและจากนั้นจึงไปหา ซะมาอ์ บิน อัลอัสวัด บินอัลมุตฏอลิบ( زمعة بن الاسود ) และได้ตกลงกันว่าในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นจะไปรวมตัวที่ “ กะบะฮ์ ”
ในวันรุ่งขึ้นเมื่อผู้คนมาพร้อมกันแล้ว ซุเฮรพูดขึ้นว่า โอ้ผู้คนชาวมักกะฮ์ เราต้องกินและสวมใส่เสื้อผ้าของเราไม่ใช่หรือ ในขณะที่บนูฮาชิมต้องประสบกับความสูญสิ้นไม่อาจซื้อขายใดๆได้ ? ขอสาบานต่อพระเจ้า ฉันจะไม่ยอมหยุดยั้งจนกว่าเอกสารสัญญาของการคว่ำบาตรที่ ชั่วร้ายนี้จะถูกฉีกทิ้งไปก่อน
อบูญะฮัลตะโกนขึ้นว่า เจ้าโกหก มันจะต้องไม่ถูกฉีกทิ้งไป ซะมาอ์ จึงกล่าวขั้นว่า เจ้าเป็นคนโกหก เราไม่ต้องการเอกสารสัญญานี้ นับตั้งแต่วันที่มันถูกร่างและลงนามกันแล้ว อบุลบัคทารีกล่าว่า ซะมาอ์กล่าวถูกแล้ว เราไม่เคยพอใจกับข้อตกลงนี้เลยตั้งแต่วันที่มันถูกเขียนขึ้น และเราก็ไม่พอใจกับมันจนถึงขณะนี้
อัลมุอ์ติมจึงกล่าวเสริมว่า ท่านทั้งสองพูดถูกต้องแล้ว และใครที่พูดเป็นอื่นไปจากนี้ย่อมเป็นคนโกหก เราขอให้พระเจ้าทรงเป็นพยานว่า เราขอหันห่างตัวของพวกเราออกจากความคิดทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และในทุกสิ่งที่มันได้ถูกเขียนไว้ในเอกสารสัญญานั้น ฮิชามก็พูดเป็นทำนองเดียวกันและกล่าวสนับสนุนเพื่อนของเขา
อบูญะฮัลได้รู้สึกว่า นี้เป็นเรื่องใหญ่ และพวกเขาก็จะเอาจริง และเป็นเสียงของประชาชนและกลุ่มที่เงียบนั้นก็สนับสนุนด้วย เขาจึงเลือกที่จะเงียบ
จากนั้นอัลมุอ์ติมจึงเดินตรงไปยังที่เก็บสัญญานั้นเพื่อจะฉีกมันออกเป็นชิ้น แต่เขาพบว่าปลวกได้กินมันไปจนหมดแล้วยกเว้นคำว่า
“ บิสมิกะอัลลอฮุมม่า ” ( بسمك اللهم )
คำนี้นับเป็นคำขึ้นต้นที่พวกกุเรชใช้กันเป็นธรรมเนียมเพื่อเป็นการเริ่มต้นการเขียนบันทึกของพวกเขา ซึ่งให้ความหมายว่า  “ ด้วยนามแห่งพระเจ้า ” ผู้เขียนสัญญานี้ก็คือ มันซูร บิน อักรอมะอ์
การกระทำที่เด็ดเดี่ยวของคนทั้งห้า นับเป็นสัญญาณว่าการปิดล้อมของพวกกุเรชได้สิ้นสุดลงแล้ว และนับจากนี้ไปมุสลิมและบรรดาสมาชิกทั้งหมดจากบนูฮาชิม และอัลมุตฏอลิบย่อมสามารถกลับคืนสู่นครมักกะฮ์และกลับคืนสู่บ้านเรือนของพวกเขาได้แล้ว
ว่ากันตามหลักวิชาการแล้ว ผู้กล้าหาญทั้งห้าคนนี้ไม่ใช่มุสลิม แต่พวกเขาและเป็นพวกเขาเท่านั้นที่มีความองอาจ และกล้าหาญที่จะรักษาหลักการหนึ่งที่เป็นของอิสลามไว้ นั่นคือ หลักแห่งความยุติธรรม พวกเขารักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม และด้วยวีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเขา ทำให้ได้รับความเป็นอมตะในตำนานของอิสลาม
		
		



![กิจกรรมช่วงบ่ายวันอาชูรอ ชุมชนมัสยิดดารุซซะฮ์รอ อ. [ร่วมเดินเท้ารำลึกถึงกองคาราวานท่านหญิงซัยหนับ]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/08/298769655_599667181566282_3179114266681750340_n-1-100x75.jpg)




![4 อะมั้ลสั้น ๆให้ทำก่อนนอน ที่มีมรรคผลมหาศาล[خلاصة الاذکار]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/05/DymMxheX4AAKM6F-100x75.jpg)




