ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คือ การผูกปม เป็นคาถาหรือคำอ่านบางอย่างที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งถูกอ่านหรือเขียน หรือเป็นการกระทำบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาของคนที่ถูกกระทำ
ในสมัยที่สังคมมุสลิมเต็มไปด้วยคุรอฟะฮฺ (เรื่องเหลวไหลที่ถูกกุขึ้นและความเชื่อที่
งมงาย) มนุษย์ตอบรับสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงข้อบัญญัติศาสนาและ
วิจารณญาณในการแยกแยะข้อเท็จจริง จึงถูกปกคลุมด้วยฝุ่นแห่งความมืด และปัญหาไสยศาสตร์ หรือ มนต์ดำ เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของของสังคมมุสลิม

นี่คือจุดที่อิสลามกล่าวถึงการกำเนิดวิชาไสยศาสตร์ เสน่ห์ยาแฝด และอีกมากมายที่ขยายสาขามาจากการที่ อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ประทานเรื่องนี้ลงมาทดสอบกับมนุษย์ ในยุคของท่านนบีสุลัยมาน หรือกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลโบราณ ระหว่างความรู้ที่เป็นวิทยปัญญาและการศรัทธาที่แท้จริงอันนำไปสู่ศรัทธาที่ถูกต้องต่อพระเจ้า กับ ไสยศาสตร์และการศรัทธาที่สูญเปล่า และจะต้องได้รับโทษในวันปรโลก เพื่อวัดจิตใจของมนุษย์
ในยุคนบีสุลัยมาน อ.ล.(กษัตริย์โซโลมอน) นี้มีเรื่องมากมายที่สร้างเงื้อนงำทิ้งไว้อย่างมากมายให้คนรุ่นกล่าวหาท่าน ไปต่างๆนาๆ มาตลอดเกือบสามพันปี จนถึงปัจจุบัน เช่น เกิดข้อกล่าวมากมายที่ตกอยู่ในความเชื่อของ ชาวยิวในมะดีนะฮ์ว่าท่านเชื่อในวิชาไสยศาสตร์ พวกอัศวินที่เข้ามารบกับมุสลิมในสงครามครูเสดก็อ้างว่าได้ค้นพบความลับบางอย่างที่โซโลมอนซุกซ่อนไว้ พวกฟรีเมสัน ก็อ้างว่าวิชาสถาปัตย์ชั้นยอดนั้น เป็นของนายช่างที่เป็นซาตานที่กุมความลับบางอย่างในการก่อสร้างไว้
ฉะนั้น อีกเรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปเสียไม่ได้ก็คือข้อกล่าวหาที่ว่า นบีสุลัยมาน(โซโลมอน) ก็ท่านคือเจ้าของของและผู้หลงไหลในไสยศาสตร์ หรือมนต์ดำ ทรงกระทำการนอกลู่นอกทางในการนับถือพระเจ้า แต่ตามทัศนะของอิสลามแล้วเราไม่เชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก เรามาดูหลักฐานที่มุสลิมเรายึดถือในความบริสุทธิ์ของท่านนบีสุลัยมานกันดีกว่า
อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในอายะที่ 102 ซูเราะห์อัล-บะก่อเราะฮ์ว่า
وَاتَّبَعُواْ مَا تَتْلُواْ الشَّيَاطِينُ عَلَى مُلْكِ سُلَيْمَانَ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَكِنَّ الشَّيْاطِينَ كَفَرُواْ يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّى يَقُولاَ إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلاَ تَكْفُرْ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ وَمَا هُم بِضَآرِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلاَّ بِإِذْنِ اللّهِ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَلَقَدْ عَلِمُواْ لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الآخِرَةِ مِنْ خَلاَقٍ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْاْ بِهِ أَنفُسَهُمْ لَوْ كَانُواْ يَعْلَمُونَ
[อัลกุรอาน 2:102]และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอีกะฮ์(ทูตสวรรค์)ทั้งสอง คือฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนแก่ผู้ใด จนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงนั้นเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาใช้มัน ยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำสิ่งนั้นให้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากอนุมัติของอัลเลาะฮ์เท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในวันปรโลกเขาย่อมไม่มีส่วนได้ใดๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริงๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
โองการนี้ อัลลอฮ์ ทรงประทานให้นบีมูฮัมหมัด เพื่อโต้แย้งกับชาวยิวซึ่งพวกเขาอ่านคัมภีร์เตารอต(พระคัมภีร์เดิม)กันอยู่ ซื่งมีข้อกล่าวหาต่อท่านนบีสุลัยมาน(กษัตริย์โซโลมอน)หลายเรื่องในนั้น เช่น การออกนอกแนวทางของอัลลอฮ์ รวมทั้งเรื่องการศึกษาวิชาไสยศาสตร์และเก็บรวบรวมตำราไว้ จนถึงเรื่องร้ายแรงที่สุดที่ชาวยิวในยุคท่าน นบีมูฮัมหมัด ซ.ล. ในเมืองมะดีนะฮ์
ความว่า : และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน(ซาตาน,ผู้ประพฤติชั่ว)ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง”นั่นคือ พวกนักปราชญ์ของยิวกลุ่มหนึ่งที่ผินหลังให้แก่คัมภีร์เตารอต(โตรา)ได้ถือปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์ที่พวกประพฤติชั่วในสมัยท่าน นบีสุลัยมานเผยแพร่ พวกเขากล่าวว่า ท่านนบีสุลัยมานได้รวบรวมตำราไสยศาสตร์จากประชาชนแล้วนำไปฝังใต้บัลลังก์ของพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้สิ้นชีวิตลง ประชาชนก็นำตำราเหล่านั้นออกมาศึกษา และถ่ายทอดต่อๆกันมา ดังกล่าวมานี้เป็นเรื่องมุสา ซึ่งอิสราเอลได้กุขึ้นเพื่อเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติของตน โดยโยนบาปให้แก่ท่านนบีสุลัยมานผู้บริสุทธิ์
และความที่ว่า “และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธศรัทธาไม่”นั้นคือ ท่านนบีสุลัยมานหาได้เชื่อถือและปฏิบัติในวิชาไสยศาสตร์แต่อย่างใดไม่ เพราะการเชื่อถือในวิชาไสยศาสตร์นั้นเป็นการปฏิเสธศรัทธา ในฐานะที่ท่านเป็นนบีของอัลลอฮ์ กระทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้ยอมรับและยึดถือในเอกภาพของอัลเลาะฮ์ แล้วตัวท่านเองจะปฏิบัติในสิ่งตรงกันข้ามกระนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์ ซ.บ.จึงได้ทรงแก้ข้อกล่าวหาของวงศ์วานอิสรออีล(อิสราเอล)หรือยิวในสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด
ฮุกุมสำหรับผู้เรียนหรือทำคุณไสยในทัศนะอิสลาม
ณ จุดนี้อาจเกิดคำถามสำหรับผู้อ่านได้ว่า อิสลามอนุญาติให้ศึกษาศาสตร์ประเภทนี้หรือไม่ ? อณุญาติให้เราเรียนรู้ และทำคุณไสย ได้หรือไม่ ?
คำตอบ. ในกรณีที่กล่าวมา บรรดานักฟะฮ์กิมีทัศนะเป็นเอกฉันฑ์ว่า “การเรียนรู้เรื่องไสยศาตร์ การถ่ายทอดไสยศาสตร์ และการรับค่าจ้างในเรื่องดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นสิ่งอะรอม และไม่อนุญาติในอิสลาม เว้นแต่เพื่อการช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุณไสย กล่าวคือ เรียนรู้เพื่อแก้คุณไสยที่ถูกกระทำ เท่านั้น
ดุอาฮ์เพื่อแก้คุณไสยที่ถูกกระทำใสคำสอนอิสลาม
- ท่านเชคอับบาสกุมมีย์ กล่าวไว้ในหนังสือมะฟาติฮุลญินาน รายงานจากท่านอิมามอะลี อ. ว่า เพื่อต้องการทำลายคุณไสย ให้เขียนอายะฮ์ต่างๆต่อไปนี้ แล้วพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
بِسمِ الله وَ بِالله، بِسمِ الله وَ ما شاءَالله، بِسم الله لاحَولَ ولاقُوّه الا بالله
قَالَ مُوسَیٰ مَا جِئْتُمْ بِهِ السِّحْرُ ۖ إِنَّ اللَّهَ سَیُبْطِلُهُ ۖ إِنَّ اللَّهَ لَا یُصْلِحُ عَمَلَ الْمُفْسِدِینَ
فَوَقَعَ الْحَقُّ وَبَطَلَ مَا کَانُوا یَعْمَلُونَ؛ فَغُلِبُوا هُنَالِکَ وَانْقَلَبُوا صَاغِرِینَ
- ท่านอิมามอะลี อ. กล่าวว่า เพื่อให้เรารอดพ้นจากการถูกคุณไสย หรือมนต์ดำ ให้เราอ่านอายะฮ์ต่อไปนี้ โดยมีหลักปฎิบัติเช่นนี้ ในนมาซยามค่ำคืนให้อ่านหลังนมาซ 7 ครั้ง ส่วนนมาซในช่วงกลางวันให้อ่านก่อนนมาซ 7 ครั้ง อายะนั้นก็คือ
بِسمِ الله وَ بِالله سَنَشُدُّ عَضُدَکَبِأَخِیکَ وَنَجْعَلُ لَکُمَا سُلْطَانًا فَلَا یَصِلُونَ إِلَیْکُمَا بِآیَاتِنَا أَنْتُمَا وَمَنِ اتَّبَعَکُمَا الْغَالِبُونَ
- ท่านอิมามริฎอ อ. กล่าวว่า หากต้องการทำลายไสยศาสตร์ ให้ยกมือขึ้นมาอยู่เบื้องหน้า(ในสภาพขอดุอาฮ์)แล้วกล่าวว่า
«بِسْمِ اَللَّهِ اَلْعَظِيمِ بِسْمِ اَللَّهِ اَلْعَظِيمِ رَبِّ اَلْعَرْشِ اَلْعَظِيمِ إِلاَّ ذَهَبَتْ وَ اِنْقَرَضَتْ»
- อายะต่างๆจากคัมภีร์อัลกุรอ่านที่อ่านเป็นประจำจะทำลายคุณไสย และปกป้องผู้อ่านจากการถูกคุณไสยได้
وَ قُلْ جَاءَ الْحَقُّ وَزَهَقَ الْبَاطِلُ إِنَّ الْبَاطِلَ کَانَ زَهُوقاً وَنُنَزِّلُ مِنَ الْقُرْآنِ مَا هُوَ شِفَاءٌ وَرَحْمَةٌ لِلْمُؤْمِنِینَ وَلاَ یَزِیدُ الظَّالِمِینَ إِلَّا خَسَاراً / سوره اسرا آیه 82
وَأَوْحَیْنَا إِلَی مُوسَی أَنْ أَلْقِ عَصَاکَ فَإِذَا هِیَ تَلْقَفُ مَا یَأْفِکُونَ فَوَقَعَ الْحَقُّ وَبَطَلَ مَاکَانُوا یَعْمَلُونَ فَغُلِبُوا هُنَالِکَ وَانْقَلَبُوا صَاغِرِینَ وَأُلْقِیَ الْسَّحَرَةُ سَاجِدِینَ لا قَالُوا آمَنَّا بِرَبِّ الْعَالَمِینَ رَبِّ مُوسَی وَهَارُونَ / سوره اعراف آیه 122
قَالُوا یَامُوسَی إِمَّا أَن تُلْقِیَ وَإِمَّا أَن نَّکُونَ أَوَّلَ مَنْ أَلْقَی قَالَ بَلْ أَلْقُوا فَإِذَا حِبَالُهُمْ وَعِصِیُّهُمْ یُخَیَّلُ إِلَیْهِ مِن سِحْرِهِمْ أَنَّها تَسْعَی فَأَوْجَسَ فِی نَفْسِهِ خِیفَةً مُّوسَی
قُلْنَا لاَ تَخَفْ إِنَّکَ أَنتَ الْأَعْلَی وَأَلْقِ مَا فِی یَمِینِکَ تَلْقَفْ مَا صَنَعُوا إِنَّمَا صَنَعُوا کَیْدُ سَاحِرٍ وَلاَ یُفْلِحُ السَّاحِرُ حَیْثُ أَتَی فَأُلْقِیَ السَّحَرَةُ سُجَّداً قَالُوا آمَنَّا بِرَبِّ هَارُونَ وَمُوسَی/ سوره طه آیه70
قَالَ لَهُم مُّوسَی أَلْقُوا مَا أَنتُم مُلْقُونَ / سوره یونس آیه80
فَأَلْقَوْا حِبَالَهُمْ وَعِصِیَّهُمْ وَقَالُوا بِعِزَّةِ فِرْعَوْنَ إِنَّا لَنَحْنُ الْغَالِبُونَ فَأَلْقَی مُوسَی عَصَاهُ فَإِذَا هِیَ تَلْقَفُ مَا یَأْفِکُونَ فَأُلْقِیَ السَّحَرَةُ سَاجِدِینَ قَالُوا آمَنَّا بِرَبِّ الْعَالَمِینَ رَبِّ مُوسَی وَهَارُونَ (سوره شعراء آیه 48)
وَقَالَ فِرْعَوْنُ ائْتُونِی بِکُلِّ سَاحِرٍ عَلِیمٍ فَلَمَّا جَاءَ السَّحَرَةُ قَالَ لَهُم مُّوسَی أَلْقُوا مَا أَنتُم مُلْقُونَ فَلَمَّا أَلْقَوْا قَالَ مُوسَی مَا جِئْتُم بِهِ السِّحْرُ إِنَّ اللَّهَ سَیُبْطِلُهُ إِنَّ اللَّهَ لاَ یُصْلِحُ عَمَلَ الْمُفْسِدِینَ/ سوره یونس آیه 81 و 82
ข้อควรรู้
- ขณะเขียนดุอาฮ์ และอ่านดุอาฮ์ให้หันหน้าไปทางทิศกิบละฮ์ พร้อมด้วยวุฎุฮ์
- จ่ายศ่อดะเกาะฮ์
- อ่านซูเราะห์ยาซีน
- มีความศรัทธาอย่างมั่นคงในอำนาจของอัลลอฮ์ ซ.บ.