ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ คือ มารดาของบิดานาง อุมมุ อะบี ฮา[أُمُّ أَبِيْهَا]คือสร้อยนามที่แสดงถึงความสูงส่งของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ อ. อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ คือ มารดาของบิดานาง อุมมุ อะบี ฮา[أُمُّ أَبِيْهَا]คือสร้อยนามที่แสดงถึงความสูงส่งของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ อ. อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายความหมายของคำพูดนี้ของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. มาดูตัวบทของฮะดิษที่บันทึกไว้ในตำราของชาวซุนนะห์ ท่านซะฮ์บี ได้บันทึกไว้ในหนังสือ ซียะรุล อะห์ลาม มิล นุบลาฮ์ และท่านอิบนิ ฮะญัร อัซก่อลานีย์ บันทึกไว้ในหนังสืออัลอิศ่อบะฮ์ และอื่นๆ ว่า
ฟาฎิมะฮ์ บุตรี แห่งศาสนทูตของอัลลอฮ์ คือ หัวหน้าสตรีแห่งสากลโลกในยุคสมัยของนาง ,คือก้อนเนื้อแห่งนะบูวัต ,…..เป็นมารดาของบิดานาง………..

ความหมายของวจนะร่อซูลที่กล่าวถึงท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ว่า “อุมุ อะบี ฮา”
หากมองถึงความหมายทั่วไปของประโยคนี้ ที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ. กล่าวกับบุตรสาวของท่าน ว่า “ฟาฎิมะฮ์ คือมารดาของบิดาของนาง” อาจจะเข้าใจได้ว่า หลังจากที่ภรรยาของท่านนบี ศ. คือท่านหญิงคอดีญะฮ์ ได้เสียชีวิตลง ก็มีท่านหญิงฟาฎิมะฮ์บุตรสาวของท่าน ศ. นี้แหละที่คอยทำหน้าที่เสมือนมารดาคนหนึ่งในทุกๆเรื่อง กล่าวคือ “การเรียกขานว่า อุมมุ อะบีฮา (มารดาของบิดาของนาง) เหตุที่ถูกเรียกชื่อดังกล่าวนั้น เป็นเพราะนางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในบ้านของท่านนบี ศ.หลังจากที่ท่านหญิงคอดีญะฮ์ได้เสียชีวิตไป นางจึงได้รับหน้าที่ดูและปรณนิบัตรท่านนบี มีการบันทึกไว้ว่าช่วงแรกของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ส่วนมากแล้วท่านศาสดา ศ. จะกลับมาบ้านในสภาพที่เท้าเปื้อนเลือด ถูกขว้างปาถูกเย้ยหยันและอยู่ในสภาพที่เศร้าโศกมีเพียงฟาฏิมะห์เท่านั้นที่คอยปลอบประโลมผู้เป็นบิดา
อับดุลลอฮ์ บิน มัสอูด กล่าวว่า วันหนึ่งท่านศาสดาอยู่ในสภาพซุญูดและมีพวกกุเรชอยู่รายล้อมท่าน อุกบะฮ์ อิบนิ อบีมุอีดได้นำกระเพาะแกะเทใส่หลังท่านศาสดา ท่านไม่ได้เงยจากสุญูดจนกระท่งท่านหญิงฟาตมะฮ์มาถึง นางได้นำมันออกไปและสาปแช่งผู้ที่ได้กระทำ (บุคคอรี เล่ม 5 หน้า 57 )
เหตุการณ์ทำนองนี้ได้เกิดขึ้นกับท่านศาสดา ศ. หลายครั้งและทุกๆครั้งท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ก็จะเป็นผู้ที่รีบมาช่วยบิดา
และเพราะอีกเหตผลหนึ่งที่นางได้ถูกเรียกว่า “อุมมุ อบีฮา” เพราะนางมีใบหน้าคล้ายกับบิดาของนางมาก นั่นหมายถึง “ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ.

แต่หากพิจจารณาให้ลึกกว่านี้ และนำความหมายของคำว่า “อุมมุล” ซึ่งตามรากศัพท์แล้ว จะให้ความหมายว่า “แก่นแท้ และรากเหง้าของสิ่งหนึ่ง” ก็สามารถกล่าวได้ว่า “ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ อ. คือแก่นแท้ ,รากเหง้า และเเหล่งกำเนิดของ นะบูวะฮ์ และ วิลายะฮ์ กล่าวคือ หากปราศจากนาง นะบูวะฮ์ และ วิลายะฮ์ของอะฮ์อิมมะฮ์ ก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้
ความว่า : วิลายะฮ์แห่งอะฮ์อิมมะฮ์ คือผลผลิตของนะบูวัต และเช่นกัน นะบูวัต ที่ปราศจาก วิลายะฮ์ ก็ไร้ความหมาย(ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายที่อัลลอฮ์ตั้งไว้ได้)
ดังที่อัลลอฮ์ ซ.บ. จึงตรัสไว้ในอัลกุรอ่านว่า “โอ้มุฮัมมัด หากเจ้าไม่ประกาศวิลายะฮ์ออกไปก็เท่ากับเจ้าไม่ได้ประกาศอิสลามเลย และนะบูวัตก็ไม่อาจสมบูรณ์ได้”
และเช่นนั้นแหละ การมีอยู่ของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ยิ่ง คือผลผลิตถึงการมีอยู่ของท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ หากปราศจาก ฟาฎิมะฮ์ ก็ไม่มีแล้วซึ่ง อะฮ์อิมมะฮ์ และวิลายะฮ์ เมื่อปราศจาก วิลายะฮ์ นะบูวัต ก็ไม่อาจจะสมบูรณ์ได้(ตามคำที่อัลกุรอ่านยืนยันไว้ในอายะ 67 ซูเราะห์อัล-มาอิดะฮ์)
ฉะนั้น ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ คือ ปฐมเหตุแห่งนะบูวัต และอิมามัต ดังปรากฏในบางริวายะฮ์ที่ระบุไว้ เช่น ฮะดิษกุดซีย์ ที่อัลลอฮ์ทรงตรัสกับท่านนบีมุฮัมมัด ศ. ในค่ำคืนมิฮ์รอจ ว่า
یـا أَحْمَدُ! لَوْلاکَ لَما خَلَقْتُ الْأَفْلاکَ، وَ لَوْلا عَلِىٌّ لَما خَلَقْتُکَ، وَ لَوْلا فاطِمَهُ لَما خَلَقْتُکُما»؛
الأسرار الفاطمية – الشيخ محمد فاضل المسعودي – ص 231
โอ้อะห์มัด(นบีมุฮัมมัด)หากปราศจากเจ้าแล้ว ข้าก็จะไม่สร้างสรรพสิ่งใดเลย และเช่นกันหากปราศจากอะลี ข้าก็จะไม่สร้างเจ้า และหากปราศจากฟาฎิมะฮ์ ข้าก็จะไม่สร้างเจ้าทั้งสองเช่นกัน




![กิจกรรมช่วงบ่ายวันอาชูรอ ชุมชนมัสยิดดารุซซะฮ์รอ อ. [ร่วมเดินเท้ารำลึกถึงกองคาราวานท่านหญิงซัยหนับ]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/08/298769655_599667181566282_3179114266681750340_n-1-100x75.jpg)






![4 อะมั้ลสั้น ๆให้ทำก่อนนอน ที่มีมรรคผลมหาศาล[خلاصة الاذکار]](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/05/DymMxheX4AAKM6F-100x75.jpg)

![การตักลีด[تقلید]ในทัศนะของชีอะห์-ซุนนี่ห์](https://mubahala.net/wp-content/uploads/2022/05/14000311000679_Test_NewPhotoFree-100x75.png)
